วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

น.ส พรรณนิภา ทองยอด

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2012
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2012 เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกสี่ปีครั้งที่ 57 และมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้ลงสมัครจากพรรคเดโมแครต กับรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน คู่ลงสมัคร ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง คู่แข่งคนสำคัญ คือ มิตต์ รอมนีย์ ผู้ลงสมัครจากพรรครีพับลิกันและอดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ และวุฒิสมาชิกพอล ไรอัน คู่ลงสมัคร จากรัฐวิสคอนซิน
ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาซึ่งวุฒิสมาชิกหนึ่งในสาม (33 ที่นั่ง) ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกสองปีเพื่อเลือกตั้งสมาชิกมายังสมัยประชุมสภาคองเกรสที่ 113 นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐสิบเอ็ดรัฐและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติในหลายรัฐพร้อมกันด้วย

สหรัฐ 7 พ.ย.- ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐปรากฏว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้รับชัยชนะได้เป็นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐเป็นสมัยที่ 2

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ประธานาธิบดีโอบามาสามารถเอาชนะนายมิตต์ รอมนีย์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันไปได้ ทำให้เขาได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2 โดยผลการนับคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งจากรัฐต่างๆ ตั้งล่าสุดนายโอบามาได้คะแนนไปแล้วอย่างน้อย 281 คะแนน จากจำนวนที่ผู้สมัครจะต้องได้รับ  270 คะแนนถึงจะได้รับชัยชนะ ขณะที่นายรอมนีย์ได้ไป 201 คะแนน

ทั้งนี้ โอบามาได้รับชัยชนะอย่างฉิวเฉียดในหลายรัฐที่มีการแข่งขันสูงทั้งโอไฮโอ วิสคอนซิน ไอโอวา เพนซิลเวเนีย และนิวแฮมเชอร์ ขณะที่นายรอมนีย์เก็บชัยชนะได้เพียงรัฐเดียวคือที่รัฐนอร์ทแคไรโลนา

ชัยชนะของโอบามาในครั้งนี้เป็นการสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง โดยเขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของพรรคเดโมแครต ที่ได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกัน 2 สมัยในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ซึ่งคนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์นี้ก็คืออดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน

สำหรับผลงานสำคัญในช่วง 4 ปีที่ผ่านของโอบามาได้แก่การยุติสงครามในอิรัก การกอบกู้อุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐที่ล้มละลายให้กลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง การสังหารนายอุซามะ บิน ลาเดน ผู้นำสูงสุดของเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ รวมถึงการให้หลักประกันสุขภาพแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้า ตลอดจนการผ่านกฎหมายเพื่อการปฏิรูปวงการตลาดหุ้นสหรัฐ ล่าสุดนายรอมนีย์ยังไม่ออกมายอมรับความพ่ายแพ้

ด้านนายโอบามา ได้กล่าวขอบคุณต่อผู้สนับสนุนผ่านทางทวิตเตอร์ที่ทำให้เขาได้รับชนะในครั้งนี้  ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนโอบามาต่างก็ออกมาแสดงความยินดีกันอย่างคึกคัก คาดว่าการเลือกตั้งนี้มีชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิกันอย่างน้อย 120 ล้านคน.-สำนักข่าวไทย
สำนักข่าว Foxnews รายงาน ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐและเป็นผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ได้คะแนนเสียงคณะผู้แทนรวมทุกมลรัฐที่รู้ผลชี้ขาดล่าสุด สูงกว่านายมิตต์ รอมนีย์ ผู้สมัครจากพรรครีพับรีกัน โดยผลขั้นชี้ขาด เกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.17 นาทีตามเวลาในประเทศไทย ในนาทีที่รู้ผลคะแนนชนะเลิศ 18 เสียงเพิ่มเติมจากรัฐโอไฮโอ ที่เป็นสวิง สเตท หรือ รัฐที่มีการแข่งขันสูง ทำให้นายโอบามา มีคะแนนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของที่นั่งคณะผู้แทนทั้งหมด 270 เสียง ชนะเลิศการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีต่อ เป็นสมัยที่สอง โดยผลการนับคะแนนล่าสุด คะแนนเสียงนายโอบามา ขยับขึ้นมานำเป็น 303 ต่อ 206 คะแนน ล่าสุดเหลือเพียงรัฐฟลอริด้าเพียงแห่งเดียวที่ผลการนับคะแนนยังไม่เสร็จสิ้น

ซึ่งชัยชนะครั้งนี้ เกิดจากผลคะแนนที่เกินความคาดหมายในบางรัฐที่สำคัญและแข่งขันสูง อย่าง โคโลราโด เพนซินวาเนีย เวอร์จิเนีย รวมถึง โอไฮโอ แม้จะได้คะแนนเสียงรวมจากประชาชนเกือบเท่ากันกับนายรอมนีย์ แต่การคว้าชัยในในรัฐที่มีคะแนนเสียงคณะผู้แทนจำนวนมาก อาทิ แคลิฟอเนียร์ นิวยอร์ก มิชิแกน รวมถึงคว้าชัยในรัฐที่มีการแข่งขันสูง ทำให้นายโอบามา คว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ไปได้ ด้วยคะแนนที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างมาก
สำหรับบรรยากาศที่สำนักงานใหญ่ทีม หาเสียงของนายโอบามา ในนครชิคาโก ฝูงชนผู้สนับสนุนจำนวนมาก เฝ้ารอการประกาศชัยชนะของนายโอบามา ด้วยอารมณ์สนุกสนาน สมหวังยินดีในชัยชนะกันถ้วนหน้า โดยนายโอบามา กล่าวถึงชัย
พร้อมกันนั้น ที่สำนักงานใหญ่ทีม หาเสียงของนายรอมนีย์ ในเมืองบอสตัน นายรอมนีย์ ได้ปราศรัยกล่าวแสดงความยินดีต่อนายโอบามา ที่ประสบชัยชนะได้เป็นประธานาธิบดี
เกจิอาจารย์ของสำนักข่าว Foxnews กล่าวเพิ่มเติม ถึงผลการเลือกตั้งว่า แม้จะเคยคาดการณ์กันว่า ประเด็นปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นตัวแปรที่อาจส่งผลให้นายโอบามาไม่ได้รับเลือกอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุด ประชาชนชาวอเมริกัน ก็ยังคงเชื่อมั่นและพร้อมให้โอกาสแก่นายโอบามา ในการสานต่อภารกิจการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศต่อไปในสมัยที่สองของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ชนะของตน และพร้อมที่จะนำพาชาวอเมริกาเดินหน้า ฝ่าฟันวิกฤติและอุปสรรคต่างๆที่เผชิญกันอยู่

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การปกครอง

การปกครองของไทย




       การปกครองของไทยแต่เดิมก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการปกครองชาติอื่นๆ คือมีการรวมกลุ่มกันอยู่
เป็นหมู่เป็นเหล่าบางแห่งก็รวมกันเข้าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีหัวหน้าเป็นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบให้ความ
คุ้มครองป้องกันภยันตรายตามควรแก่ฐานะทำนองหัวหน้าหรือนายกับลูกน้อง(Master and slave) อำนาจ
หน้าที่และความรับผิดชอบของกลุ่มตกอยู่แก่หัวหน้าสิ้นเชิง โดยมีขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นเครื่องกำกับ
ยึดเหนี่ยว ต่อมาเมื่อมีพลเมืองเพิ่มมากขึ้นปัญหาเรื่องการทำมาหากินโดยอาศัยผืน    แผ่นดินเป็นหลักและ
ความสำคัญในเรื่องพื้นที่และดินแดนจึงเกิดขึ้น มีการกำหนดของอาณาเขตการปกครองของกลุ่มและหมู่ชน

      ชนชาติไทยเป็นกลุ่มชนชาติใหญ่ที่มีระเบียบการปกครองและวัฒนธรรมสูง จีนยกย่องเรียกว่า "ไต๋"
"ชาติใหญ่" ประกอบกับชาวไทยมีคุณธรรมประจำชาติดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชา
นุภาพทรงกล่าวว่า ชนชาติไทยมีคุณธรรม 3 ประการ เป็นสำคัญจึงสามารถปกครองประเทศสยาม  ได้คือ
ความรักอิสระของชาติความปราศจากวิหิงสาและความฉลาดในการประสานประโยชน์ถ้าจะเรียกเป็นภาษา
อังกฤษ คือ Love of national independence, Toleration and Power of assimilation สำหรับการจัดรูปการ
ปกครองของไทยแต่เดิม จากพงศาวดารและหลักฐานอ้างอิง  พอสันนิฐานได้ว่าไทยในสมัยน่านเจ้านั้นการ
ปกครองในส่วนกลางแบ่งออกเป็น 9 กระทรวง คือ

  1. ฮินสอง      เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงมหาดไทย
  2. โม่วสอง     เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงกลาโหม
  3. ม่านสอง    เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงการคลัง
  4. ยันสอง      เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงการต่างประเทศ
  5. หว่อสอง     เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงพาณิชย์
  6. ฝัดสอง      เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงยุติธรรม
  7. ฮิดสอง      เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงโยธาธิการ
  8. จุ้งสอง      เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงสำมะโนครัว
  9. ฉื่อสอง      เทียบกับปัจจุบันได้แก่      กระทรวงวังหรือราชประเพณี
      การบริหารงานของราชการส่วนกลางมีอภิรัฐมนตรีรัฐมนตรีหรือเสนาบดี ปลัดกระทรวง อธิบดีเจ้า
กรมปกครองบังคับบัญชารับผิดชอบตามลำดับส่วนการปกครองในภูมิภาคแบ่งเขตการปกครองเป็นมณฑล
แต่ละมณฑลมีเมืองเอกโทตรีและจัตวามีหัว หน้าปกครองลดหลั่นกันไปได้แก่เจ้าหัวเมืองเอกเจ้าหัวเมืองโท
เจ้าหัวเมืองตรีและเจ้าหัวเมืองจัตวาแต่ละเมืองแบ่งออกเป็น    แขวงมีนายอำเภอเป็นหัวหน้ารองจากแขวง
เป็นแคว้นมีกำนันเป็นหัวหน้าจากแคว้นจึงเป็นหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้ารับผิดชอบซึ่งรูปแบบการปก
ครองดังกล่าว นี้มีลักษณะคล้ายกับการปกครองในแบบปัจจุบันมาก
 
 
ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบ ปรมิตตาญาสิทธิราชย์ มีกฎหมายสูงสุด คือรัฐธรรมนูญ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุขของประเทศ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475

แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยยังเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เป็นไปตามหลักการ มีการปฏิวัติรัฐประหารยึด อำนาจ ตั้งคณะรัฐบาลและกำหนดบทบัญญัติขึ้นเอง ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพดังที่ควรจะเป็น ดังนั้น จึงเกิดเหตุการณ์ ใหญ่ขึ้นถึง 3 ครั้ง คือ

ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 มีกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านอำนาจเผด็จการ อันประกอบไปด้วยประชาชน จากทุกสาขาอาชีพ ภายใต้การนำของนิสิต นักศึกษาจากทุกสถาบัน เป็นเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองการ ปกครองของไทย เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้รับรู้ เกิดความหวงแหนและร่วมกันธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต และความยากลำบากของเพื่อนร่วมชาติ

เหตุการณ์ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้มีนิสิตนักศึกษาและประชาชนร่วมกันปกป้องประชาธิปไตย ต่อต้านการกลับมาของกลุ่มอำนาจเก่า ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันมีค่ายิ่งไปเป็นจำนวนมาก

และครั้งล่าสุดเกิดขึ้นวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 มีกลุ่มต่อต้านอำนาจเผด็จการและเรียกร้องประชาธิปไตยขึ้นอีก ผลจากการเรียกร้องในครั้งนี้ นำไปสู่การแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่อมาได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

สถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปกครองประเทศ มีดังนี้


1. ฝ่ายบริหาร คือ คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล
2. ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา ประกอบด้วยสมาชิก 2 ส่วน คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งประชาชนเลือกตั้งเข้ามาทั้งหมด
และวุฒิสมาชิก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ตามการเสนอ ขึ้นโปรดเกล้าฯ ของนายกรัฐมนตรี
3. ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล มีหน้าที่พิจารณาคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามบัญญัติของกฏหมาย เพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมแก่ประชาชน ทั้งนี้ในรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้ศาลเป็นสถาบันอิสระจากรัฐสภาและรัฐบาล มีคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ทำหน้าที่ควบคุมการแต่งตั้งข้าราชการตุลาการ เพื่อให้ศาลเป็นสถาบันที่ ธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง

อาเซียน

อาเซียน


          ในสภาวะแห่งยุคทุนนิยม ที่เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประกอบกับประเทศต่าง ๆ นั้นอยู่รวมกันเป็นสังคมโลก ไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายได้ จึงต้องมีการรวมตัวกันของประเทศในแต่ละภูมิภาคเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ร่วมและพัฒนาประเทศในภูมิภาคไปพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ อาเซียน จึงได้มีข้อตกลงให้อาเซียนรวมตัวเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)
 
          แต่ก่อนที่เราจะมาดูเนื้อหาสาระของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนนี้ เราจะมาย้อนดูกันรวมตัวกันของประเทศในอาเซียนว่ามีการรวมตัวกันได้อย่างไร จนมาเป็นอาเซียนในปัจจุบัน

          โดยอาเซียนหรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (ASEAN : The Association of South East Asian Nations) ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 โดยประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต่อมาในปีพ.ศ.2527 บรูไน ดารุสซาลาม ได้เข้ามาเป็นสมาชิก ตามด้วยเวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อ พ.ศ. 2538  ขณะที่พม่าและลาวเข้ามาเป็นสมาชิกใน พ.ศ.2540 และประเทศสุดท้ายคือกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อ พ.ศ. 2542  ปัจจุบันอาเซียนมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ

รู้จัก 10 ประเทศอาเซียน


1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)

          ประเทศบรูไน มีชื่อเป็นทางการว่า "เนการาบรูไนดารุสซาลาม" มีเมือง "บันดาร์เสรีเบกาวัน" เป็นเมืองหลวง ถือเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตร ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประชากร 381,371 คน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรเกือบ 70% นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการ

  
2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)

          เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย มีประชากร 14 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในชนบท 95% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ แต่ก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเวียดนามได้



3.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)

          เมืองหลวงคือ จาการ์ตา ถือเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ 1,919,440 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 240 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) โดย 61% อาศัยอยู่บนเกาะชวา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการ

         

4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR)

          เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์ ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก โดยประเทศลาวมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่า 90% เป็นภูเขาและที่ราบสูง และไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดทะเล ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีประชากร 6.4 ล้านคน ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลัก แต่ก็มีคนที่พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ

   

5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

          เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตร แบ่งเป็นมาเลเซียตะวันตกบคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ทั้งประเทศมีพื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 26.24 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษา Bahasa Melayu เป็นภาษาราชการ

         6.สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)

          เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา ประกอบด้วยเกาะขนาดต่าง ๆ รวม 7,107 เกาะ โดยมีพื้นที่ดิน 298.170 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 92 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีการใช้ภาษาในประเทศมากถึง 170 ภาษา แต่ใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาตากาลอก เป็นภาษาราชการ


7.สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore)

          เมืองหลวงคือ กรุงสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางเรือของอาเซียน จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในย่านนี้ แม้จะมีพื้นที่ราว 699 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีประชากร 4.48 ล้านคน ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ แต่มีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ ปัจจุบันใช้การปกครองแบบสาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว)




8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

          เมืองหลวงคือกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 77 จังหวัด มีประชากร 65.4 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขของประเทศ

         


9.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)

          เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย มีพื้นที่ 331,689 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจถึงเมื่อปี พ.ศ.2553 มีประชากรประมาณ 88 ล้านคน ประมาณ 25% อาศัยอยู่ในเขตเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์

       



10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)

          มีเมืองหลวงคือ เนปิดอว ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก โดยทั้งประเทศมีพื้นที่ประมาณ 678,500 ตารางกิโลเมตร ประชากร 48 ล้านคน กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยาน และใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ